หลังจาก Thailand Social Awards เปิดรายชื่อ 10 อันดับแบรนด์ที่ทำผลงานบนโซเชียลมีเดียสูงสุดในช่วงมกราคม – มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา เราได้เห็นหลากหลายแบรนด์เติบโตอย่างน่าสนใจท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด ที่เกิดจากกลยุทธ์ที่เข้าใจผู้บริโภคและตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้คนในปัจจุบันได้อย่างแม่นยำ แล้วอะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้แบรนด์เหล่านี้มีผลงานโดดเด่นจนสามารถขึ้นมาอยู่ใน Top10 ได้ เรามาดูกันดีกว่า
กุญแจสำคัญคือการใช้ “บุคคลที่มีชื่อเสียง” สร้างความน่าเชื่อถือและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยแบรนด์ต่าง ๆ ใช้พลังของบุคคลที่มีชื่อเสียง ไม่ว่าจะเป็นศิลปินหรืออินฟลูเอนเซอร์ ในการสื่อสารเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ โดยการเลือกบุคคลที่มีภาพลักษณ์และกลุ่มเป้าหมายตรงกับสินค้าจริง ๆ รวมถึงการเป็นพรีเซนเตอร์ที่สะท้อนตัวตนของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน ในยุคนี้เราไม่เพียงเห็นการใช้อินฟลูเอนเซอร์ในสายความงามเท่านั้น แต่ยังเห็นแบรนด์ต่าง ๆ เริ่มลงทุนกับการเป็นสปอนเซอร์คอนเสิร์ตของศิลปินนักร้อง หรือสนับสนุนรายการออนไลน์ เช่น Jisulife ที่เป็นสปอนเซอร์คอนเสิร์ตของบิวกิ้น-พีพี, Mclaren เลือกใช้ มาย-ภาคภูมิ เป็น Friend of McLaren Bangkok หรือ PunThai Coffee ที่เลือกใช้ พี่จอง-คัลแลนเป็นพรีเซนเตอร์คู่แรกกาแฟพันธ์ุไทย
นอกจากนี้ การที่เจ้าของแบรนด์เป็นอินฟลูเอนเซอร์ก็ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความผูกพันกับลูกค้าได้ดี อย่างเช่น วิน เมธวิน หนึ่งในเจ้าของแบรนด์ Souri ที่สร้าง Engagement ได้สูงมาก รวมถึงการร่วมมือกับศิลปิน T-POP ที่มีฐานแฟนคลับเหนียวแน่น เช่น BUS, 4EVE หรือ PROXIE ก็เป็นอีกกลยุทธ์ที่ทำให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น เพราะกระแส T-POP กำลังมาแรงจนหลายแบรนด์หันมาใช้ศิลปินกลุ่มนี้เป็นพรีเซนเตอร์กันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
อีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่แบรนด์นำมาใช้คือกระแสความนิยมจาก “คู่จิ้น” แบรนด์จำนวนไม่น้อยเลือกใช้พรีเซนเตอร์อย่าง เจมีไนน์-โฟร์ท, หลิงหลิง-ออม หรือ ซี-นุนิว เพื่อสร้างกระแสและขยายฐานแฟนคลับให้กว้างขึ้นผ่านการจัดรายการและกิจกรรมออนไลน์เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภค รวมถึงการใช้พลังของนักแสดงซีรีส์ Boys Love อย่างแสนสิริที่ใช้ อู่อู๋-เซฟ และ เน็ต-เจเจ ทำรายการ #แสนสิริถิ่นพี่หนูชอบ ซึ่งแม้คนเหล่านี้จะไม่ได้เป็นตัวแทนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรง แต่ก็สามารถสร้างยอด Engagement ที่สูงมากได้เช่นกัน
และที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือการใช้กลยุทธ์ “โปรโมชัน” ที่โดนใจ แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จไม่ได้มีแค่การลดราคาธรรมดา แต่เป็นการโปรโมตโปรโมชันที่คุ้มค่าและสร้างสรรค์ เช่น การออกโปรโมชันร่วมกับร้านอาหารชื่อดังในกลุ่มธุรกิจ Delivery ซึ่งช่วยขยายฐานลูกค้าและสร้างการรับรู้ในวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว หรือแม้แต่การโปรโมตโปรโมชันผ่านบุคคลที่มีชื่อเสียง หรือการออกโปรโมชั่นลดราคากลางปีก็เป็นปัจจัยที่จะช่วยให้ช่วยให้โปรโมชันถูกมองเห็นในวงกว้างและสร้างแรงดึงดูดได้เพิ่มมากขึ้น
นอกเหนือจากกลยุทธ์ข้างต้น ยังมีปัจจัยเสริมอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น การที่แบรนด์ให้ความสำคัญกับ Owned Media หรือช่องทางสื่อของตัวเองมากขึ้นด้วยการเผยแพร่คอนเทนต์อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า การหันมาใช้ TikTok เพื่อโปรโมทสินค้าด้วยเนื้อหาที่ “สั้นๆ (Short Video)” แต่ได้ใจความก็เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้น TikTok เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่หลายๆ แบรนด์ให้ความสำคัญมากขึ้น ผ่านตัว Message ที่กระโดดเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปี 2568 เรามักจะแบรนด์เน้นทำ Short VDO ในการโปรโมทสินค้า และตามเทรนด์บนโซเชียล เช่น แบรนด์ Leowood ที่มีการดึง CEO ของแบรนด์เป็นอินฟลูเอนเซอร์
ตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ เราจะเห็นหลายแบรนด์เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับ “มาสคอต” มากขึ้น เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพลักษณ์ของมาสคอตช่วยชูตัวตนของแบรนด์ได้อย่างมีพลัง ยกตัวอย่างในกลุ่มธุรกิจอาหาร เราจะเห็นว่า พี่ก้อน จาก Bar B Q Plaza ถูกใช้มาอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นภาพจำไปแล้ว ในขณะที่ “ButterBear” จากร้านเบเกอรี่ชื่อดังก็กลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก จนนำไปสู่การ Collaboration กับสินค้าแบรนด์อื่นๆ อีกมากมายเพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่น่ารักและช่วยเพิ่มพลังจากกลุ่มแฟนคลับของน้องเนย ซึ่งสร้างยอดเอนเกจเมนต์สูงมาได้อย่างต่อเนื่อง ครึ่งปีแรกนี้ เราเป็น “ButterBear” ไปคอลแลปกับสินค้าหลายๆ ชิ้นมาก เช่น MamypokoXbutterbear และ babi mild ที่มีการออกแพคเกจร่วมกับ Butter Bear ในกลุ่ม mom & baby หรืออย่าง Simplus ที่นอกจากจะใช้พีพีเป็นพรีเซนเตอร์สินค้า ยังมีการออกคอลเลคชั่น Simplus x Butterbear ให้เหล่าแฟนคลับได้ตามเก็บอีกด้วย
ผู้เล่นหน้าใหม่ที่ตีโค้งแซงมากอย่างต่อเนื่อง
แค่ผลคะแนนครึ่งปีแรก ก็ทำให้เกิดมุมมองใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น เช่น ในหมวด Restaurant เรามองเห็นแบรนด์ใหม่ๆ เริ่มขยับมาโปรโมทบนช่องทาง Short Video (TikTok) มากขึ้น เช่น “Hot Pot Man” ทำคอนเทนต์โปรโมตร้านได้ดีโดยเฉพาะบน TikTok มีทั้งการแนะนำเมนูและโปรโมชัน รวมถึงให้ความรู้ และมี content ตลกๆของเจ้าของร้าน หรือปรับปรุงคุณภาพสินค้าอยู่สม่ำเสมอจนทำให้แบรนด์อย่าง “Shusiro” ที่โดดเด่นจาก Earn Media เป็นหลักจากกระแสบนโซเชียลหลากหลายแบบ
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า การทำการตลาดในปี 2568 ไม่ได้มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่เป็นการผสมผสานระหว่าง “กลยุทธ์ที่เข้าใจผู้บริโภค” กับ “ความคิดสร้างสรรค์” ที่ต้องปรับเปลี่ยนให้ทันกระแสอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการใช้โปรโมชันที่โดนใจ, การเลือกพรีเซนเตอร์ที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย, การสร้าง Owned Media ที่แข็งแรง, หรือแม้แต่การหยิบมาสคอตหรือพรีเซนเตอร์มาเป็นตัวแทนแบรนด์ ทุกองค์ประกอบล้วนมีบทบาทสำคัญในการสร้างความแตกต่างและทำให้แบรนด์สามารถยืนหยัดอยู่ในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้อย่างมั่นคง